เชื่อหรือไม่ครับ ใครที่เป็นนักศึกษาเรียนเกี่ยวกับการ "ออกแบบตกแต่งภายใน" สมัยผมเรียนนั้นไม่มีการสอนว่าต้องมีการเขียน B.O.Q ประกอบงานเขียน ออกแบบตกแต่งภายใน กันนะครับ ผมมาเรียนรู้ได้เอาหลังจากจบมาทำงานได้สักสองปีหลังจากนั้นว่า เอ้อ..! เจ้าเอกสารประกอบแบบตกแต่งภายในตัวนี้มันมีความสำคัญกับ ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมางานตกแต่ง และท่านเจ้าของงาน เจ้าของบ้านทั้งหลายมากที่เดียว มาดูกันนะครับ..(ใครที่รู้แล้วก็อย่าหาว่าผมพูดทำไมเลยครับ ผมว่าอย่างน้อยก็เป็นวิทยาทานให้กับน้องๆนักศึกษา และท่านเจ้าของบ้านตาดำๆ และผู้รับเหมาตกแต่งจำนวนมาก ก็คงเห็นด้วยกับผมเหล่ะครับ เพราะมี นักออกแบบตกแต่งภายใน หลายๆท่าน หน้าใหม่อาจไม่รู้ หน้าเก่าต้องรู้ แต่ไม่มีเวลาเขียน ขี้เกียจเขียน เขียนไม่ทัน ก็ว่ากันไป)

จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้ผู้รับเหมางานตกแต่งภายใน (ที่อาจจะมีมากกว่าหนึ่งราย และแม้ว่าจะมีแค่รายเดียว ก็ควรเขียนขึ้นมา) ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ ได้ทราบว่าจะต้องคิดราคาเพื่อเสนอเจ้าของบ้านว่ามีอะไรบ้าง โดยไม่สับสน ไม่หลงแบบ หลงรายการ และหลงประเด็น
ประโยชน์โดยตรงกับทุกๆฝ่ายก็คือ
-หากมีผู้เสนอราคางานมากกว่าหนึ่งราย ทั้งผู้ออกแบบ และเจ้าของบ้าน สามารถเปรียบเทียบรายการงาน ราคา แต่ละรายการได้โดยง่าย ไม่สับสนอลหม่านกันไป
-สามารถเห็นความแตกต่าง หรือผิดปกติในผู้เสนอราคาแต่ละเจ้าได้ง่าย เช่นบ่อยครั้งที่เสนอจำนวนพื้นที่มาต่างกันมากไป
-ผู้เสนอราคาแต่ละราย จะได้ลดทอนความได้เปรียบ เสียเปรียบ จากการเสนอราคาที่สับสน ไม่ตรงกัน หรือจงใจผิดพลาดโดยบริสุทธ์ใจ
-ช่วยลดปัญหาข้อขัดแย้งให้กับทุกๆฝ่าย ไม่ต้องทะเลาะกันมั่ว ด้วยเหตุแห่งความไม่ชัดเจนในรายการงานว่า อันไหนรวม ไม่รวมในราคางาน เผลอคิดตก หก หล่น โดยไม่ได้เจตนา
-ช่วยให้เจ้าของบ้าน เจ้าของงาน ต่อรองราคาผู้เสนอราคางาน ได้โดยสะดวกขึ้น (อันนี้สำคัญมากกกก ขอบอก ท่านเจ้าของอมยิ้มเลย..หุๆชอบใจสิท่าน)
ดังนั้นทั้งหลายทั้งปวง จะเห็นได้ว่าการเขียนเอกสาร B.O.Q หรือรายการปริมาณงาน(Bill Of Quantity) นั้น ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ยกเว้น ผู้ออกแบบบางรายข้างต้นที่ผมบอก คือขี้เกียจ ทำไม่ทัน ไม่มีเวลา....และค่าแบบถูกมาก ไม่คุ้ม....เข้าใจตรงกันนะครับ ท่านทั้งหลาย อย่าไปบีบค่าออกแบบ นักออกแบบตกแต่งภายใน กันนักเลยครับ ค่ากระดาษอีกตั้งหลายแผ่น ที่ท่านเจ้าของบ้านมองไม่เห็น..ผมไม่ได้ประชดเลยนะครับ 555
Thank U Ka
ตอบลบ